วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

บันทึกการเรียนประจำวันที่ 6 มีนาคม 2558



                                                    บันทึกการเรียนครั้งที่ 8
 
       ให้นักศึกษาออกมาติดชื่อสมาชิกที่มาเรียนในวันนี้หน้ากระดานโดยเเบ่งเป็น 5 กลุ่ม เลขที่1-5 เป็นต้นโดยจะให้คนที่มาเรียนก่อนติดเป็นคนเเรก หลังจากนั้นก็ช่วยกันดูว่าวันนี้มีเพื่อนมาเรียนทั้งหมดกี่คน เเละเปรียบเทียบว่ากลุ่มไหนที่มีสมาชิกน้อยที่สุด มากที่สุดหรือเท่ากันบ้าง ในการที่ทำกิจกรรมนี้เพื่อเเสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้คณิตศาตร์ได้ง่ายๆโยผ่านการใช้ชีวิตประจำวันผ่านการนับเลข บอกจำนวน ผ่านสื่อเเละตามมุมประสบการณ์

      น.ส. วราภรณ์  แทนคำ เลขที่ 19 นำเสนอบทความ
เรื่อง....ทำไมถึงต้องสอนคณิตให้กับเด็ก
เด็กในวัย 0-3 ปี สามารถเเยกจำนวนมากๆได้โดยการใช้สมองซีกขวา เด็กจะมีการเรียนรู้ได้เร็วเเต่ประโยชน์ที่ได้รับไม่ได้เเค่ความรู้ที่เกี่ยวกับคณิตเพียงอย่างเดียว การที่สมองซีกขวาได้ทำงานจะช่วยให้สมองไม่ฟ้อเเละยังเกิดการเรียนรู้ได้ง่ายอีกด้วย


     น.ส. รัตนาภรณ์   คงกะพันธ์  เลขที่ 20 นำเสนอบทความ
เรื่อง....คณิตศาสตร์เรียนอย่างไรให้สนุก
จะเรียนให้สนุกจะต้องมีการเรียนปนเล่น ต้องใช้สื่อ เพลง เกม เข้ามาช่วยเพื่อให้เด็กได้มีการเรียนรู้ที่ดีเเละรวดเร็วยังช่วยให้เด็กไม่เบื่อเเละอยากที่จะเรียน เด็กช่วงนี้จะชอบการได้ลงมือกระทำด้วยตนเองเเละชอบสัมผัสมีสิ่งที่สวยงามจะช่วยให้เด็กมีการเรียนรู้ที่มีประสิทธฺภาพมากขึ้น ผู้จัดกิจกรรมจะต้องให้เวลาเเก่เด็กไม่ควรตำหนิ เวลาที่เโ้กไม่ทำการบ้านเเละไม่ควรใช้เครื่องหมายกากาบาทลงบนหนังสือของเด็กเมื่อเด็กมีการทำผิดเเต่ให้ใช้การอธิบายให้เด็กเข้าใจ การสอนเเบบนี้เพื่อที่จะให้เด็กมีทัศนคติที่ในการเรียนวิชาคณิตศสาตร์

  การสอนแบบโครงการ (Project  Approach)

     โครงการ คือ การสืบค้นข้อมูลอย่างลึกตามหัวเรื่องที่เด็กสนใจควรเเก่การเรียนรู้ จุดประสงค์ของโครงการ คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับหัวข้อมากกว่าการเสาะเเสวงหาคำตอบที่ถูกต้อง
    

  วิธีจัดการเรียนการสอนมี 4 ระยะ คือ
    
 *   ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ เด็กจะร่วมกันคิดเรื่องที่สนใจ
 *    ระยะที่ 2 ระยะวางแผนโครงการ เป็นช่วงเวลาที่กำหนดจุดประสงค์ว่าต้องการเรียนรู้อะไร กำหนดขอบเขตเนื้อหา ระยะเวลาและวิธีการศึกษา
 *  ระยะที่ 3 ดำเนินโครงการตามที่กำหนดไว้ ที่เน้นระบวนการแก้ปัญหา จัดเป็นหัวใจของการสอนแบบโครงการ เพราะเด็กจะได้รับข้อมูลใหม่จากประสบการณ์ตรงหรือเป็นแหล่งข้อมูลพื้นฐานเพราะเด็กได้สนทนา พูดคุยกับบุคคล และสืบค้นจากแหล่งเรียนรู้ ขณะเดียวกันเด็กสามารถค้นความรู้จากแหล่งข้อมูลรอง (Secondary Sources) เช่น การดูวีดีทัศน์ การอ่านหนังสือ เป็นต้น
 *  ระยะที่ 4 สรุปโครงการ ครูและเด็กร่วมวางแผนสรุปโครงการ เป็นขั้นตอนการประเมินโครงการ ทบทวนการปฏิบัติ และวางแผนโครงการใหม่ วิธีการสรุปโครงการอาจจะให้เด็กนำผลงานที่ได้รับมอบหมายมาแสดงต่อครูแล้วอภิปรายประเด็นปัญหา หรือให้เด็กนำเสนอผลงาน ในรูปของการจัดแสดง จัดเป็นนิทรรศการ หรือสาธิตผลงาน


ประโยชน์
   · เด็กจะได้เ้ห็นคุณค่าในตัวเอง เป็นเเนวทางให้เด็กได้พึ่งตนเองได้
    · เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง อย่างมีความสุข สนุกสนานเพราะเด็กได้เรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองชอบ
    · ส่งเสริมให้เด็กได้มีการทำงานอย่างมีเเบบแผน        
    · สามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตจริง

การสอนเเบบมอนเตสเซอรี
วิธีการจัดการเรียนการสอน
เน้นการเรียนรู้ตามลำดับขั้น ไม่ต้องการให้เด็กลองผิดลองถูก สร้างสมาธิ ความมั่นใจ ครูสามารถวินิจฉัยและแก้ปัญหาการเรียนรู้ของเด็กได้ โดยสาธิตและฝึกให้เด็กเรียนรู้และตัดสินใจด้วยตนเอง
การเตรียม    = ครูเตรียมอุปกรณ์การศึกษาเด็กสามารถเข้าเรียนแบบคละอายุได้
การดำเนินการ = ขั้นนำ เด็กเลือกอุปกรณ์การศึกษาตามความสนใจ ,ขั้นสอน ครูสาธิตให้เด็กดู 
ขั้นสรุป ครูให้เด็กเก็บอุปกรณ์ ครูบันทึกความรู้ ครูบันทึกรายการอุปกรณ์

ประโยชน์

· มีพัฒนาการทุกด้านเต็มตามศักยภาพ
· มีระเบียบวินัย
·มีสมาธิในการทำงานรักความสงบ
· ควบคุมตนเองและพึ่งพาตนเองได้
· ทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น
· รู้สิทธิของตนเองและเคารพสิทธิของผู้อื่น 
· มีมารยาทตามวัฒนธรรมที่ตนอาศัยอยู่
· รักอิสระและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
· รักสิ่งแวดล้อม

การสอนเเบบ STEM


STEM คือการเรียนรู้

วิชาวิทยาศาสตร์(Science)
เทคโนโลยี (Technology)
วิศวกรรมศาสตร์(Engineering)
คณิตศาสตร์ (Mathematics) 
ซึ่งล้วนเป็นวิชาที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีความรู้ความสามารถที่จะดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพในโลกศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีความเป็นโลกาภิวัฒน์ ตั้งอยู่บนฐานความรู้และเต็มไปด้วยเทคโนโลยี อีกทั้งวิชาทั้งสี่เป็นวิชาทีมีความสำคัญอย่างมากกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การพัฒนาคุณภาพชีวิต และ ความมั่นคงของประเทศ

การสอนเเบบสมองเป็นฐาน

  BBL (Brain-based Learning) คือการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับพัฒนาการของสมองแต่ละช่วงวัย เป็นการนำองค์ความรู้เรื่องสมองมาใช้เป็นฐานในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้

ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน 12 ข้อ ดังต่อไปนี้
1)สมองเป็นกระบวนการคู่ขนาน    2)สมองกับการเรียนรู้  3)การเรียนรู้มีมาแต่กำเนิด 4)รูปแบบการเรียนรู้ของบุคคล 5) ความสนใจมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ 6)สมองมีหน้าที่สร้างกระบวนการเรียนรู้ 7)การเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจสามารถรับรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  8)การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทั้งแบบที่มีจุดมุ่งหมายและไม่ได้ตั้งใจ  9)การเรียนรู้ที่เกิดจากกระบวนการสร้างความเข้าใจ 10)การเรียนรู้เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น 11)ส่งเสริมให้ผู้เรียนเผชิญกับสถานการณ์ที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ 12)สมองของบุคคลมีความเท่าเทียมกัน

  เพลง  เท่ากัน  -  ไม่เท่ากัน

ช้างมีสี่ขา          ม้ามีสี่ขา

  คนเรานั้นหนา          สองขาต่างกัน

              ช้างม้ามี              สี่ขาเท่ากัน  (ซ้ำ)
    
          แต่กับคนนั้น         ไม่เท่ากันเอย  (ซ้ำ)

ทักษะ

-ทดสอบก่อนเรียน
-มีการระดมความคิด
-มีการวาดรูปในตารางให้เป็นรูปต่างเละต่อรูปทรง


วิธีการสอน

-การใช้เพลงประอบการเรียนการสอน
-มีการใช้คำถามพื่อให้ นักศึกษาได้คิด
-บรรยายการสอน power point


ประเมินสภาพห้องเรียน

บรรยากาศเย็นสบายเอื้ออำนวยต่อการเรียน  อุปกรณ์ในการสอนสะดวกพร้อมใช้งาน

ประเมินตนเอง

มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมในห้องเรียน มีการคิด วิคราะห์อยู่ตลอดเวลา

ประเมินเพื่อน

-  เพื่อนมีการคุยกันเสียงดังบ้าง ไม่ตั้งใจฟังอาจารย์สอน เข้าเรียนสาย

ประเมินอาจารย์

เข้าสอนตรงเวลา มีกิจกรรมใหม่ๆมาให้ทำตลอด ไม่ว่าจะเป็นการต่อรูปทรงการแต่งเพลงร่วมกันในห้องเรียน ทำให้ในการเรียนไม่น่าเบื่อ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น